Saturday, May 22, 2010
ทำไมอ่าน...พาดหัวข่าวภาษาอังกฤษ...ไม่รู้เรื่องซักที...
สวัสดีครับ
หลายๆคนอาจจะเคยเจอปัญหา...
เวลาอ่านข่าวภาษาอังกฤษทีไร...งงกับ Headline หัวข้อข่าวทุกที...
ทุกวันนี้ผมยังเป็นเลย...เหอะๆ... ^^
เลยพยายามแจกแจงข้อสังเกตที่น่าจะช่วยเพื่อนๆให้อ่านได้ง่ายขึ้นครับ...
ประเภทที่ 1
Headline ที่เป็น Noun Phrase
Noun Phrase...ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็น...กลุ่มของคำนาม
ดังนั้น...หัวข้อข่าวประเภทนี้...จะประกอบไปด้วยกลุ่มคำนาม...ที่ไม่มี verb...ครับ...
ตัวอย่างเช่น...
"Unexpected Visit"
เพื่อนๆอาจจะถามจะรู้ได้ไง ว่า Visit เป็น Noun หรือ Verb
ง่ายๆเลย...มองดูสิว่ามันมีSubjectไหม...
ไม่มีประธานแต่มี Unexpected เป็น Past Participle
เพื่อนๆอาจจะถามอีก Past Participle ไรเนี่ย แค่นี้ก็งงจะแย่แล้ว -*-
เอาเป็นว่า Participle ก็มาจาก Part ที่มีความหมายว่า...ส่วนๆหนึ่ง...
ดังนั้นมันก็คือ ส่วนๆหนึ่งของ Past อดีต นั้นก็คือ Vช่อง3 นั่นเอง
อ่าทีนี้พอทราบแล้วว่าไม่มี ศัพท์ ที่น่าจะเป็น ประธานเลย...
ดังนั้น Visit มันก็น่าจะเป็น part of speech อย่างอื่นที่ไม่ใช่ Verb
ถึงตอนนี้เปิด ดิก ดูเลย อ่าพอเปิดปุ๊บ เจอแล้วว่ามันก็เป็น Noun ได้ด้วย
ถ้าไม่รู้ก็ได้ความรู้ใหม่ว่ามันสามารถเป็น Noun ได้ด้วย
ที่นี้เมื่อเจอพาดหัวข่าว...ให้พยายามถามตัวเองว่า...มันเกี่ยวกับอะไร...
ทำไมมันต้อง unexpected ไม่คาดคิดด้วย...
ใครเป็นคนถูก...มาเยี่ยม...เป็นต้น...
การตั้งคำถามตัวเองในใจ...จะกระตุ้นให้เวลาเราอ่านเนื้อเรื่อง...
จะทำให้เราสามารถเชื่อมโยงคำศัพท์ต่างๆ...เข้ากับความหมายที่มันควรจะเป็นได้...
พูดง่ายๆ ทำให้อ่านได้คล่อง ลื่น มากขึ้นนั่นเอง...
ให้ดีเวลาอ่าน...ฝึกจินตนาการภาพไปด้วย...เหมือนดูหนัง...
อ่านไปก็นึกภาพไป...จะทำให้เราเข้าใจความหมายได้ง่ายขึ้นครับ...รับรอง...
ผมว่ามันสนุกว่าอ่านเป็นตัวหนังสือเปล่าๆ...นึกภาพมันกระตุ้นจินตนาการครับ...
เดี่ยวมาต่อนะครับ
หลายๆคนอาจจะเคยเจอปัญหา...
เวลาอ่านข่าวภาษาอังกฤษทีไร...งงกับ Headline หัวข้อข่าวทุกที...
ทุกวันนี้ผมยังเป็นเลย...เหอะๆ... ^^
เลยพยายามแจกแจงข้อสังเกตที่น่าจะช่วยเพื่อนๆให้อ่านได้ง่ายขึ้นครับ...
ประเภทที่ 1
Headline ที่เป็น Noun Phrase
Noun Phrase...ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็น...กลุ่มของคำนาม
ดังนั้น...หัวข้อข่าวประเภทนี้...จะประกอบไปด้วยกลุ่มคำนาม...ที่ไม่มี verb...ครับ...
ตัวอย่างเช่น...
"Unexpected Visit"
เพื่อนๆอาจจะถามจะรู้ได้ไง ว่า Visit เป็น Noun หรือ Verb
ง่ายๆเลย...มองดูสิว่ามันมีSubjectไหม...
ไม่มีประธานแต่มี Unexpected เป็น Past Participle
เพื่อนๆอาจจะถามอีก Past Participle ไรเนี่ย แค่นี้ก็งงจะแย่แล้ว -*-
เอาเป็นว่า Participle ก็มาจาก Part ที่มีความหมายว่า...ส่วนๆหนึ่ง...
ดังนั้นมันก็คือ ส่วนๆหนึ่งของ Past อดีต นั้นก็คือ Vช่อง3 นั่นเอง
อ่าทีนี้พอทราบแล้วว่าไม่มี ศัพท์ ที่น่าจะเป็น ประธานเลย...
ดังนั้น Visit มันก็น่าจะเป็น part of speech อย่างอื่นที่ไม่ใช่ Verb
ถึงตอนนี้เปิด ดิก ดูเลย อ่าพอเปิดปุ๊บ เจอแล้วว่ามันก็เป็น Noun ได้ด้วย
ถ้าไม่รู้ก็ได้ความรู้ใหม่ว่ามันสามารถเป็น Noun ได้ด้วย
ที่นี้เมื่อเจอพาดหัวข่าว...ให้พยายามถามตัวเองว่า...มันเกี่ยวกับอะไร...
ทำไมมันต้อง unexpected ไม่คาดคิดด้วย...
ใครเป็นคนถูก...มาเยี่ยม...เป็นต้น...
การตั้งคำถามตัวเองในใจ...จะกระตุ้นให้เวลาเราอ่านเนื้อเรื่อง...
จะทำให้เราสามารถเชื่อมโยงคำศัพท์ต่างๆ...เข้ากับความหมายที่มันควรจะเป็นได้...
พูดง่ายๆ ทำให้อ่านได้คล่อง ลื่น มากขึ้นนั่นเอง...
ให้ดีเวลาอ่าน...ฝึกจินตนาการภาพไปด้วย...เหมือนดูหนัง...
อ่านไปก็นึกภาพไป...จะทำให้เราเข้าใจความหมายได้ง่ายขึ้นครับ...รับรอง...
ผมว่ามันสนุกว่าอ่านเป็นตัวหนังสือเปล่าๆ...นึกภาพมันกระตุ้นจินตนาการครับ...
เดี่ยวมาต่อนะครับ
Thursday, May 20, 2010
Perceive หมายถึงอะไรกันแน่

สวัสดีครับทุกท่าน...
หลายๆคนอาจจะเคยเรียน... หรือเคยเจอคำนี้... มาบ้างในหนังสือ...
Perceive...แต่บางคนก็ท่องแปลเป็นไทยว่า... รับรู้ เข้าใจ คิด...
แล้วใช้กันเป็นไหมครับ...แต่งประโยคได้รึป่าว...
อ่าลองมาดูความหมายการใช้คำๆนี้กันครับ...
เพื่อนๆลองดูภาพนี้ครับ...
ถ้าผมลองถามว่าเห็นเป็นภาพอะไร...
บางคนก็จะตอบว่าเห็น...ยายแก่ๆคนนึง...
บางคนก็ตอบว่าเห็น...หญิงสาวผมยาวใส่สร้อยคอคนนึง...
นี่ละครับ...ต่างคนก็ต่าง...perceive...กันไปคนละแบบ...
ก็คือแหล่งข้อมูลเดียวกัน...แต่คิดตีความไปกันคนละแบบครับ...
ตัวอย่างประโยคครับ
He perceived that this picture had an old women.
She perceived that this picture had a young woman.
กรณีนี้ perceive จะเป็น transitive verb คือ verb ที่ต้องมีกรรมมารับ...
ซึ่งกรรมที่มารับคือ that this picture had an old woman.
ซึ่งเป็น Noun Clause คำนามที่อยู่ในรูปประโยคนั่นเองครับ...
สังเกตจะมี that , how , what , where , when อะไรพวกนี้นำหน้าครับ...
หรืออาจจะเขียนเป็น
He perceived it as an old woman picture.
perceive sb/sth as sb/sth. ก็หลักเดิมแหละครับจำว่า เป็น verb มีกรรมพอ...
as ก็ใช้เชื่อมบอกว่า กรรม ของ verb มันถูก perceive คิดไปว่าเป็นอะไร...
Word Family ครับ
perceive (vt.)
perception (n.)
perceptive (adj.)
perceptible (adj.) ตรงข้ามกับ imperceptible (adj.)
หลายคนอาจสงสัยว่า perceptive ต่างกับ perceptible ยังไง
ถ้าจำความหมายของ suffix ได้จะไม่งงครับ
ง่ายๆครับสังเกต perceptive ลงท้ายด้วย ~ive
ให้แปลในใจว่า make หรือ have
ซึ่งแปลว่า มีลักษณะอย่างนั้นหรือก่อให้เกิดอย่างนั้น
ซึ่งในที่นี้ก็หมายถึง have มีลักษณะซึ่ง perceive ได้ดี หมายความว่า เก่งรับรู้ได้เก่ง
แต่ถ้า ลงท้ายด้วย ~able แปลว่า สามารถ
ซึ่งในที่นี้ก็หมายถึง สิ่งใดที่ perceptible มันจะสามารถ
ถูกรับรู้ perceive ได้ง่าย ครับ
พยายามฝึกจับความรู้สึกของ suffix ต่างๆไว้ครับจะช่วยได้เยอะ
ไว้คราวหน้าจะหา suffix มาลงให้ครับ
สวัสดีครับ
Sunday, May 16, 2010
เจาะลึก...How to read...
ผมเห็นว่ามีหลายๆท่านได้แนะนำ...เทคนิคต่างๆมากมายในการอ่านภาษาอังกฤษ...
แต่ทำไมหลายๆคน...อ่านบทความเหล่านั้นแล้ว...ก็ยังมีปัญหาในการอ่านเช่นเดิม...
ผมจึงได้...idea...ในการเขียนบทความนี้ขึ้นมา...เพื่อให้เพื่อนๆทุกคนได้ดูวิธีการมอง....
การอ่านภาษาอังกฤษของตัวผมเอง...เผื่อที่จะได้แนวทางในการอ่านเพิ่มมากขึ้นครับ...
ทนอ่านนิดนึงนะครับ...จะพยายามอธิบายเหมือนมีคนมานั่งคุยด้วยข้างๆครับ...
++++++++++++++...ผมจะยกตัวอย่าง...ประโยคมาหนึ่งประโยคนะครับ...+++++++++++++++
He once suffered from an allergy that made him very uncomfortable.
เมื่อผมเจอประโยคนี้...
ขั้นแรก...หา S V (O)...(บางประโยคไม่จำเป็นต้องมีobject)...
ในที่นี้...subject...คือ...He...
ส่วนของsubject...ประโยคนี้ยังดูไม่ยากนะครับ...
ไว้คราวหน้า...จะยกตัวอย่างประโยคที่ซับซ้อนกว่านี้ครับ...
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
verb...คือ...suffered...ซึ่งเป็น...verbช่องที่2...past simple tense...แสดงถึงเหตุการณ์ในอดีต...
เมื่ออ่านเจอ...once...ขั้นแรกให้ถามตัวเองว่า...part of speech...ของมันคืออะไร...
ตอนนี้ก็ให้เปิดdictที่เตรียมไว้เลยครับ...
เมื่อเปิดดูปุ๊บจะเห็นทันทีว่า...once...มี...part of speech...2 อย่าง...คือ adv. และ conj.
แล้วเราจะรู้ได้ไง...ว่าเป็น adv. หรือ conj.
สังเกตุในประโยคครับ...once...อยู่ติดหน้า...verb suffered...
ซึ่งปกติ adv. มักจะวางไว้หน้า...verb...ที่มันต้องการขยายอยู่แล้วครับ...
ในกรณีนี้ไม่น่าจะเป็น conj. (ก็ไม่ได้เห็นเชื่อมประโยคเลยเนอะ)...
ดังนั้นสรุปว่าเป็น adv. ครับ...
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
from an allergy that made he very uncomfortable.
สังเกตส่วนนี้ดีๆครับ...
เป็น...phrase (วลี)...ที่ขึ้นต้นด้วย...preposition...from...
เราจึงเรียกว่า...prepositional phrase...
ถ้าลองคิดๆดู...มันทำหน้าที่ขยายว่า...เขา...suffered...จากอะไร...
ดังนั้นเมื่อมันไปขยาย...verb...มันก็ทำหน้าที่เหมือนเป็นอะไรละ...
ใช่แล้วครับ...มันทำหน้าที่เปรียบเสมือนเป็น adverb ครับ...
ดังนั้น...prepositional phrase...นี้ทำหน้าที่เป็น...adverb...ขยาย...verb suffered ครับ...
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
an allergy...เป็นคำนามที่มารองรับหลัง preposition from ครับ...
ซึ่งมี relative clause ข้างล่างนี่ มาขยาย allergy...ครับ...
that made him very uncomfortable.
สังเกต verb "made"...
มีกรรม him มารองรับ แล้วตามด้วย กลุ่ม adj. "very uncomfortable"
(very เป็น adv. มาขยาย uncomfortable)...
ซึ่งกลุ่ม adj. นี้ก็ทำหน้าที่ขยาย him นั่นเอง...
ซึ่งหมายความว่า allergy ไปทำให้ him รู้สึก very uncomfortable
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สรุปย่อ...concept...การอ่านคร่าวๆนะครับ
1. เวลาเราอ่านต้องถามตัวเองอยู่เสมอว่า ทำไมคำนี้ถึงเขียนอยู่ตรงนี้นะ
2. พยายามเปิดดู part of speech ของแต่ละคำที่เราไม่ทราบ grammar ถูกผิดก็อยู่ตรงนี้แหละ
3. พยายามหา verb หลักให้เจอ
4. เมื่อเจอ pattern การเขียนแบบต่างๆให้พยายามจดจำนำมาใช้
5. คิดในใจอยู่เสมอว่า ภาษา คือ ภาษา ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ผู้เขียนสามารถยืดหยุ่นได้
6. จำไว้ว่ายิ่งอ่านมาก ประสบการณ์ยิ่งมาก
หลายคนอาจถามว่า...ประสบการณ์ที่ได้มันคือไรอ่า - -
ก็อย่างเช่น...ประโยคตัวอย่างนี้...เมื่อเราอ่าน...เราอาจจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆดังนี้
- รู้ว่า once มี part of speech สองอย่างคือ adv. กับ conj. ไม่ใช่ท่องแปลเป็นไทยอย่างเดียว
- รู้ว่า pattern การใช้ verb made เขียนได้โดย made + obj. + adj.ขยายobj.
- รู้ศัพท์ บางคำที่เราไม่ทราบ...
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเบื้องต้นนะครับ...
ไว้คราวหน้าผมเจอเทคนิคอะไรใหม่ๆ...จะนำมาแชร์กันต่อไปครับ...
เพื่อนๆคนไหนมีเทคนิคดีๆ...ก็แชร์กันได้นะครับ...
หากมีข้อผิดพลาดประการใด...ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ...
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เตรียมพร้อมทักษะการอ่าน

สวัสดีครับ...
บทความนี้ผมเขียนขึ้นเพื่อถ่ายทอด...
วิธีการอ่านของผม...เพื่อเป็นแนวทาง...
ในการฝึกษะการอ่านของเพื่อนๆทุกคนนะครับ...
หากมีข้อสงสัยประการใดก็ Post ถามไว้ได้ครับ...
ทักษะและอุปกรณ์ที่จำเป็นในการอ่าน
1.Dictionary Eng-Eng สักเล่ม
อาจจะเป็น Oxford Advanced Learner's Dictionary...

ถ้าซื้อเล่มนี้จะมี...CD Software Dict... ลงในคอมแถมมาให้ ซึ่งสะดวกมาก...
ผมก็ใช้ในคอมบ่อย...เปิดง่ายเร็ว..มีเสียงให้ฟัง...ละเอียดครับ...
*ถ้าไม่มีงบหรืออยากประหยัดก็ใช้Dictในเวปแก้ขัดไปก่อนก็ได้ครับ...
2.พื้นฐานGrammar

ไม่ต้องกังวลครับ...ขอแค่พื้นฐานก็พอ...ประมาณว่าเข้าใจ Subject Verb Object..
ท่อง A-Z ได้รู้จัก...ภาษาอังกฤษก็พอไหวแล้วครับ...ไม่ต้องกังวล...
เราจะได้Grammarเพิ่มเติมให้เมื่อเรา...อ่านไปเรื่อยๆครับ...
อย่ามัวคิดเองเออเองว่ายังไม่พร้อมอ่าน...Just Do It !ครับ...
3.บทความที่จะอ่าน
ง่ายๆครับเปิดเวปข่าวต่างประเทศหาอ่านเลย...
จะเปิดเวป...Bangkok Post...ก็ได้...

เอาละเมื่ออุปกรณ์พร้อม...ผมจะเริ่มเขียนวิธีอ่านของผมให้เพื่อนๆดูใน..Postถัดไป...ครับ
English skills

ทักษะทางภาษาอังกฤษ...
สำหรับผมแยกเป็น...4...ทักษะนะครับ...
1.ฟัง Listening
2.พูด Speaking
3.อ่าน Reading
4.เขียน Writing
นักเรียนไทยส่วนใหญ่...จะไม่ค่อยได้ฝึกทักษะฟังมากมายนัก...
นอกเสียจากจะหาฟังเพิ่มเติมเอาเองจากสื่อต่างๆ...เพราะว่าข้อจำกัดในทางโรงเรียน....
ทำให้เราแทบที่จะไม่ได้ฝึกทักษะฟังเลย...
ทักษะพูดก็เช่นกัน...ถ้าไม่ได้เรียนโรงเรียนอินเตอร์หรือเรียนกับฝรั่งก็แทบไม่ได้พูด...
ก็ไม่รู้จะพูดกับใครนิ...
ส่วนทักษะอ่านและเขียนเด็กไทยก็ค่อยข้างชิน...เพราะเน้นอยู่ที่สองอย่างนี้เป็นส่วนใหญ่...
อย่างไรก็ตามไม่ว่าเราจะมีพื้นฐานมาอย่างไร...
หากเราเริ่มรู้ตัวมีสติก่อน...ก็สามารถฝึกภาษา...ให้อยู่ในที่ระดับที่ใช้งานได้ไม่ยาก...
อย่างน้อยก็ควรอ่านได้...เพราะข้อมูลข่าวสารต่างๆส่วนใหญ่อยู่ในรูปภาษาอังกฤษ...
กล่าวคือ...ทักษะฟังจะนำไปสู่ทักษะพูด...
เพราะเวลาพูดเราเราจะใช้จิตใต้สำนึกหรือ...subconsciousness...
ดังนั้นเราจึงต้องฝึกฟังบ่อยๆ...เพื่อเวลาพูดจะได้โต้ตอบได้อย่างอิสระ...
ไม่ต้องมานั่งนึกเป็นประโยค...กังวลว่าจะผิดgrammarไหม...แบบนี้ก็พูดกับฝรั่งไม่ทันหรอกครับ...
ดังนั้นจึงควรฝึกฟังมากๆ...โต้ตอบสั้นๆ...
(ไว้คราวหน้าจะมานำเสนอวิธีฝึกที่ผมใช้อยู่นะครับ)
ทักษะอ่านที่ดี....จะนำไปสู่...ทักษะเขียนที่ดี
อ่านให้มากเข้าไว้ครับ...ปัญหาที่เด็กส่วนใหญ่กังวลคือ...ไม่รู้จะอ่านอะไรดี...
หนังสือเล่มไหนดีนะ...
ไม่ต้องเสียเวลาคิดให้ปวดหัวครับ...เห็นอะไรก็อ่านมันให้หมดแหละ...
ไม่จำเป็นต้องเป็นหนังสือเรียน...
ยิ่งเดี๋ยวนี้มี...Internet...สามารถเปิดเวปข่าวต่างประเทศอ่าน...ได้ทั้งความรู้+ภาษา
หลายๆคนก็ถามว่า...จะอ่านรู้เรื่องหรอ...อ่านได้สองสามบรรทัดก็แย่แล้ว...
อันนี้ไม่ยากครับ...มีพื้นฐานGrammarนิดหน่อย...มีDictionaryดีๆสักเล่ม...
ก็อ่านได้บทความได้ทั้งโลกแล้วครับ...
ในบทความต่อๆไปผมจะบอกวิธีการอ่านให้อย่างละเอียดครับ...
Saturday, May 15, 2010
Welcome To This Blog

สวัสดีครับ...
Blog...แห่งนี้...จัดทำขึ้น...เพื่อ...Share...ทักษะต่างๆ...
ที่จำเป็นเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ...
ซึ่งเป็นทักษะ...ที่จำเป็นอย่างยิ่ง...ในยุคปัจจุบัน
แน่นอนว่า...ภาษาอังกฤษ...ก็เป็นอีกหนึ่งวิชาที่สามารถ...
ช่วยให้เพื่อนๆน้องๆทุกคน...สอบติดในโรงเรียน...
หรือคณะที่ต้องการเรียน...ได้ครับ
แต่ที่เป็นหัวใจหลักของการเรียนรู้ภาษานี้ไว้
คือ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างอนาคตที่ดีให้เร็วขึ้นครับ
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ผมไม่ได้เป็นคนเก่งอะไรมากมาย
เพียงแต่ ได้สติ จึงทำให้หันมาสนใจภาษาอังกฤษอย่างจริงๆจังๆ
ต้องขอขอบคุณอาจารย์ชัชชัย (สถาบันAccess)
เป็นอย่างมาก ที่ช่วยพูดให้ผมได้สติรู้ตัว ครับ
Subscribe to:
Posts (Atom)